หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

ที่เทียวสุดฮิต ณ เขาใหญ่

"เขาใหญ่" อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตไม่ไกลกรุง ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ทำให้ที่นี่เกิดสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ วันนี้เราพาไมสถานที่เที่ยวสุดฮิตแห่งเขาใหญ่

1.             อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
แหล่งสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้กรุงเทพฯ อย่าง เขาใหญ่ ที่ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก ค่ะ ที่นี่แม้เป็นฤดูไหนๆ แต่สภาพป่าก็ชุ่มฉ่ำ ป่าไม้ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดสวย น้ำตกทุกแห่งไหลแรงส่งเสียงดังก้องป่า ให้ชีวิตชีวาแก่นักท่องเที่ยว ทำให้คนนิยมมาเดินป่าตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และไปเที่ยวน้ำตก






2.             ปาลิโอ้ เขาใหญ่
ร้านค้าเล็กๆแบบถนนคนเดินสไตล์อิตาเลียน โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เป็นเหมือนโลโก้ของเขาใหญ่ไปแล้วค่ะ ที่นี่ตกแต่งด้วยสวนสวย และร้านค้ามากมายทั้ง ธนาคาร, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สินค้าตกแต่งบ้าน, ร้านไวน์, ร้านผักปบลอดสารพิษ,ร้านขายของที่ระลึก และห้องพักแบบบูติคโฮเทลที่บริการในรูปแบบ Bed & Breakfast







3.             เขาใหญ่ พาโนรามา ฟาร์ม 
เขาใหญ่ฟาร์มเห็ดขนาดใหญ่ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมวิธีการเพาะเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ พร้อมบริการเมนูเห็ดให้ได้รับประทานกัน รวมถึงผลิตภัณฑ์เห็ดแปรรูป และของฝากอีกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสรร พร้อมการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง นอกจากนี้ใครอยากสัมผัสบรรยากาศสบายๆ ที่นี่ก็มีรีสอร์ทไว้คอยบริการ โดยออกแบบเป็นที่พักรูปเห็ดสีสันสดใส และตั้งชื่อทุกบ้านเป็นชื่อเห็ดชนิดต่างๆ
เปิด: จันทร์ ศุกร์ 09.00 – 17.00 น. / เสาร์ อาทิตย์ 09.00 – 19.00 น.





4.             ดาษดา แกลอรี่ เขาใหญ่
สถานที่ท่องเที่ยวที่ให้คุณได้เพลิดเพลินแบบครบวงจร บนพื้นที่กว่า 800 ไร่ บริเวณเชิงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่นี่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ ธรรมชาติงดงาม และการจัดแสดงดอกไม้นานาพรรณนับแสนดอก มาจัดแสดงในเรือนกระจกควบคุณอุณหภูมิ ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมและได้สัมผัสประสบการณ์แห่งความสุขจากธรรมชาติรอบตัว



ร้านบิงซู น้ำแข็งไสสไตล์เกาหลียอดฮิต


1.Seobinggo (서빙고 / ซอบิงโก)



2. Hiro Keki Cafe (ฮิโระ เกกิ คาเฟ่)


ร้านคาเฟ่ในเครือเดียวกับSushi hiro ซึ่งปัจจุบันมีสองสาขาคือที่ สาขาCrystal Veranda และ สาขาราชพฤกษ์ 


นอกจากบิงซู อีกหนึ่งเมนูที่เป็นที่นิยมของร้าน คือ pancakes fluffy ซึ่งจะเป็นการตีไข่ขาวให้ฟูเป็นวิปครีมแล้วผสมลงกับแป้ง ทำให้เมื่อทอดออกมาแล้วตัวแป้งจะฟูนุ่ม ละลายในปาก




3.Sulbing Korean Dessert Café


อีกหนึ่งร้านที่เป็นที่นิยมมาก โดยเป็นสาขามาจากทางเกาหลี เมนูยอดนิยมจะเป็นบิงซูเมล่อนที่จะทำเมล่อนครึ่งลูกมาทำ 



ตอนนี้มีเมนูออกใหม่ สำหรับคนที่ชอบกินคนเดียว หรือต้องการนำกลับบ้านได้ นั้นคือ sulbing-go


4. yenly yours


ร้านของหวานจกามะม่วงฝีมือคนไทย ซึ่งใช้วัตถุดิบในไทยทำทั้งสิ้น





5.after you


          ร้านของหวานฝีมือคนไทย ผู้คิดค้น ชิบุยะ ฮันนีโทสต์’ (Shibuya Honey Toast) ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นเมนูยอดฮิตที่แทบทุกร้านต้องมี


Coro Field ฟาร์ม Organic แห่งใหม่ของไทย

                
(ที่มา : http://www.27begin.com/corofield )

วันนี้เราพาชมฟาร์มสไตล์ญี่ปุ่น ณ ราชบุรีกันค่ะ ซึ่งก็คือ ฟาร์ม Coro Field นั้นเองค่ะ ซึ่ง “Coro Field” ชื่อนี้มีที่มาจากคำว่า คอโรฟิลล์ สารที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่น เป็นพลังความมีชีวิตชีวา โดยถูกแยกออกเป็น 2 คำ Coro ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า เวลา” Field ก็หมายถึง สนามกว้างโดยที่แห่งนี้ตั้งใจให้ใครก็ตามที่เข้ามาจะมีความสุขไปกับชีวิตที่ช้าลง พร้อมความรู้สึกอิสระในความเป็นตัวคุณ โดยจะตกแต่งในสไตล์มินิมอล คือเรียบง่ายแต่มากด้วยประโยชน์การใช้งาน
                Coro Field เปิดทำการ จ-พฤ: 9.00 - 18.00น. และ ศ-อา: 8.30 - 21.00น. สามารถเข้าชมฟรี มีค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนของกิจกรรมเท่านั้นค่ะ โดย Coro Field มีพื้นที่ 104 ไร่ แบ่งการสร้างออกเป็น 4 Phase ซึ่งขณะนี้สร้าง Phase ที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย 4 โซนย่อย คือ Coro Cafe & Market, Coro Me, Coro House และ Coro Garden และกำลังสร้าง Phase ที่ 2 ต่อไป

มาเริ่มที่ Phase ที่ 1 กันก่อนนะ มี 4 โซนย่อย ดังนี้

1. Coro Cafe & Market

โซน Cafe
มีอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม ให้เลือกอย่างหลากหลาย เป็นการนำเอาผลผลิต Organic จากฟาร์มที่มีคุณภาพดี มาผสมผสานกับวัตถุดิบชั้นดีอื่น ๆ คิดค้นขึ้นเป็นเมนูสูตรเฉพาะของทางร้าน โดยเชฟทีมชาติไทย



โซน Market
เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าและผลผลิต Organic จากฟาร์ม ทั้งผลไม้สดและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ เช่น เมล่อนสายพันธุ์ Hokkaido, มะเขือเทศฮอลแลนด์, แตงโมแอฟริกา, มันเทศญี่ปุ่น, ฟักทองญี่ปุ่น, ผลไม้อบแห้ง, แยมและซอสต่าง ๆ แบบ Homemade ฯลฯ สามารถซื้อกลับไปทาน และเป็นของฝากคนที่คุณรักได้



2. Coro Me




เป็นโซนกิจกรรมออกแบบและตกแต่งต้นไม้อย่างอิสระ ตามความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเอง ซึ่งต้นไม้ที่ใช้ในกิจกรรมนี้ เป็นไม้ประดับที่ปลูกอยู่ในกระถาง Recycle ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ และกระดาษเหลือใช้ต่าง ๆ เป็นวัสดุหลักในการทำกระถาง จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง ตกพื้นไม่แตก และระบายความร้อนได้ดี โซนนี้จะมี Artist คอยให้คำแนะนำในการทำกิจกรรมด้วย

Adopt
เป็นโซนให้เลือกต้นไม้ที่ชอบ และนำกลับบ้านได้คนละ 1 ต้น เช่น เฟิร์น, บอนไซ, Cactus ฯลฯ พร้อมใบรับอุปถัมภ์ต้นไม้ คนละ 1 แผ่น จากนั้น ให้ตั้งชื่อต้นไม้ ลงชื่อด้านล่าง และตกแต่งให้สวยงามด้วยตราปั๊มรูปโคโรโระคุงน่ารัก ๆ เพื่อเป็นการให้สัญญาว่า จะดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ต้นนี้เป็นอย่างดี

GIY (Grow It Yourself)
เป็นมุมประดับและตกแต่งต้นไม้ โดยนำต้นไม้ที่เลือกไว้จากโซน Adopt มาตกแต่งเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ซึ่งมีของประดับไว้ให้เลือกมากมาย เช่น ป้ายชื่อต้นไม้, ตุ๊กตาเซรามิครูปสัตว์ต่าง ๆ, หินกรวด, เม็ดทรายสีสันสดใส ฯลฯ

Gift Station
เป็นมุมของฝากสวย ๆ แนว ๆ จาก Coro Field เช่น ตะเกียบไม้, ดินสอไม้, แก้ว, ขวด, ที่คั้นน้ำผลไม้ ฯลฯ ให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกได้


3. Coro House

เป็นโรงเรือน Organic ขนาดใหญ่ ที่ใช้เทคโนโลยีควบคุมการเพาะปลูกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Coro Brain) จากประเทศอิสราเอล เน้นปลูกพืชด้วยความใส่ใจ ให้พืชกินดี อยู่ดี มีความสุข ใช้สรรพนามเรียกต้นพืชว่า เค้าแทนการเรียกว่า มันเพราะอยากให้ความรู้สึกเสมือนแม่ดูแลลูก ซึ่งคงไม่มีลูกคนใดที่อยากถูกเรียกว่า มันตั้งแต่เล็กจนโต มีการเปิดเพลงโมสาร์ทให้ฟังเบา ๆ รดน้ำต้นพืชด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นความโชคดีที่ขุดเจอแหล่งน้ำแร่ภายในฟาร์มแห่งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถควบคุมปริมาณน้ำ ลม แสง อุณหภูมิ ความหวาน และขนาดของลูกได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และยังเป็นแหล่งให้ความรู้และเทคนิคการเพาะปลูกต่าง ๆ ด้วย ซึ่งภายในโรงเรือนจะปลูกพืช 2 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

เมล่อนสายพันธุ์ Hokkaido มีระดับความหวานอยู่ที่ 18.5 Brix มี 2 ชนิด คือ
โทมิเมล่อน (Tomi Melon) เมล่อนเปลือกสีทอง เนื้อสีเขียว กลิ่นหอมฟุ้ง รสชาติหวานหอม เนื้อกรอบ และโยชิเมล่อน (Yoshi Melon) เมล่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีส้ม กลิ่นหอมละมุน รสชาติหวานฉ่ำ เนื้อนุ่ม


มะเขือเทศสายพันธุ์ฮอลแลนด์ มีระดับความหวานอยู่ที่ 9.5 Brix มี 2 ชนิด คือ
มะเขือเทศสีแดง (Red Holland Cherry) รูปร่างผลมีลักษณะเป็นทรงกลม เปลือกบาง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นมะเขือเทศ และมะเขือเทศสีเหลือง (Yellow Holland Cherry) รูปร่างผลมีลักษณะเป็นทรงวงรี เปลือกหนา รสชาติหวาน แทบไม่มีกลิ่นของมะเขือเทศเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศ ก็สามารถทานได้

4. Coro Garden

เป็นกิจกรรมการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยตนเอง โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แบ่งออกเป็น 2 โซนย่อย ดังนี้

Grow Zone
เป็นกิจกรรมเรียนรู้วิธีการปลูกผักด้วยตนเอง โดยเริ่มจากขุดหลุมให้ลึกพอสมควร นำต้นกล้าวางลงไปในหลุม กลบดินให้เรียบร้อย เขียนชื่อลงในแผ่นป้าย แล้วปักไว้ข้าง ๆ ต้นกล้า เมื่อผักเติบโตขึ้นจนเก็บเกี่ยวได้ จะนำไปแบ่งปันให้กับวัด โรงเรียน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือคนยากไร้ ที่ต้องการนำไปบริโภค เป็นการทำประโยชน์คืนให้กับสังคมด้วย

Harvest Zone
เป็นกิจกรรมเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ถูกต้องด้วยตนเอง โดยจะมีชะลอมเล็ก ๆ แจกให้คนละ 1 อัน ให้เลือกเก็บมะเขือเทศสีแดงและสีเหลือง ที่สุกพร้อมทานแล้วได้ตามใจชอบ และนำกลับบ้านได้ ซึ่งวิธีการเก็บเกี่ยวมะเขือเทศที่ถูกต้องนั้น จะต้องเก็บพร้อมขั้ว เพื่อยืดอายุในการเก็บรักษา ให้สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นสัปดาห์ พร้อมความสดและกรอบอร่อยดังเดิม

Phase ที่ 2 ประกอบด้วย โรงเรือน Organic ขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่เสร็จสมบูรณ์, อาคารควบคุมการเพาะปลูกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Coro Brain) และถังพักน้ำแร่ขนาดใหญ่, โรงเรือนอนุบาลต้นกล้า, โรงเรือนเพาะปลูกผักสลัด และโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตราผึ้งมังกร ซึ่งจะอยู่โซนด้านหลังของฟาร์ม





ใครมาเที่ยวแถวอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี อย่าลืมแวะมา Coro Field ชมฟาร์มเมล่อน Organic กันนะ ไม่เสียค่าเข้าชม แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมแต่ละโซน และได้รับของที่ระลึกเก๋ ๆ กลับบ้านด้วย

ถ่ายภาพและเรียบเรียงโดย : Travel MThai , คุณWASTHERE01                    

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

พาเที่ยวชม Alpaca Hill ณ สวนผึ้ง

(ที่มา : http://www.alpacahill.com/gallery)

                Alpaca Hill เป็นฟาร์มเลี้ยงอัลปาก้าแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทยพร้อมสัตว์หายากจากประเทศออสเตรเลีย อาทิ จิงโจ้แคระ กระต่ายยักษ์ หนูตะเภา บนเนื้อที่กว่า 250 ไร่ ซึ่งในฟาร์มมีกิจกรรมสนุกสนานมากมาย เช่น การเดินชมสัตว์หายากต่างๆ การเยี่ยมชมหมู่บ้านคนแคระ The Hobbit Hill หรือใส่ชุดคอสเพลย์เป็นตัวละครในดินแดน The Hobbit  และยังมีกิจกรรมยามค่ำคืน ไนท์ซาฟารี ซึ่งวันนี้เราจะพาชมบรรยากาศกันค่ะ

                โดยเริ่มแรกก่อนไปฟาร์ม เราต้องทำการจองตั๋วก่อน ซึ่งทางฟาร์มจะให้จองตั๋วผ่านทางออนไลน์เท่านั้นค่ะ สามารถจองผ่านเว็บไซด์ http://www.alpacahill.com ได้เลย โดยเวลาเปิดทำการของฟาร์มเปิดเข้าชมทุกวันตามเวลาดังนี้ วันจันทร์-พฤหัส เวลา 9:3017:00 น. ,วันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 9:0018:00 น และ VIP NIGHT SAFARI เฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ 18.30 22.00น. ตั๋วมีหลายราคา แต่วันนี้เราเลือกแบบถูกสุดค่ะ (แหะๆ) 290 บาท เท่านั้นนนนน แลกกับการได้เจอสัตว์แปลกๆมากมายยย (ฟิน > w <)  และเมื่อทำการจองแล้ว รออีเมลล์ตอบกลับจากทางฟาร์มค่ะ ถ้าได้แล้วถือว่าการจองสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วววว พร้อมออกเดินทางได้เล้ย ~() (ควรเผื่อเวลาจองอย่างน้อย1-2วันค่ะ ยิ่งเทศกาลต้องจองล่วงหน้านานๆหน่อย ป้องกันคิวเต็ม)

                วันออกเดินทางอยากจะไปถึงเร็วๆค่ะ แต่ในกรุงเทพรถติดเหลือเกิน กว่าจะถึงราชบุรีก็ปาเข้าไป 10โมงเช้าแล้ว (T T) ถ้ามาจากทางตัวเมืองราชบุรี อัลปาก้าฮีลจะอยู่ลึกหน่อยค่ะ โดยรวมอยู่ห่างจากกรุงเทพเป็นระยะทาง176กิโลเมตร

(ที่มา : http://www.alpacahill.com)

                ถึงอัลปาก้าฮีลเวลาประมาณเที่ยงค่ะ แดดกำลังร้อนเลย ข้าไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงิน จากนั้น บอกชื่อที่เราจองไว้ค่ะ และจ่ายเงินเป็นเงินสดเท่านั้นนะคะ พี่พนักกงานจะให้กระเป๋ากับเราค่ะ ข้างในจะเป็นแผนที่ และเป็นกระดาษไว้ปั๊มแสตมป์ตามจุดต่างๆ เมื่อปั๊มครบแล้วเราสามารถนำไปแลกเป็นถุงอันเล็กคล้ายถุงเครื่องรางใส่ขนอัลปาก้าที่แสนจะหายากไว้ให้เราเก็บเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ



                เมือได้กระเป๋าแล้วก็มานั่งฟังคำบรรยายจากพี่ๆแผนกต้อนรับกันค่า ฟังคำแนะนำและข้อปฎิบัติขณะอยู่ในฟาร์มค่ะ จานั้นจะมีการเปิดวีดิโอบรรยายฟาร์มและกิจกรรมต่างๆ เมื่อฟังจบแล้ว ออกไปลุยกันเลยยย 

                ระหว่างการชม  ไม่ว่าจะไปตามโซนของสัตว์อะไร จะมีพี่ๆคอยแนะนำอยู่ตลอดทางเลยค่ะ เอาใจใส่มากๆเลย  นี่จะเป็นสัตว์ทั้งหมดที่เราจะได้ชมกันค่า (อันนี้ถ่ายตอนได้ตราปั๊มหมดทุกตัวแล้วค่ะ) 


                ต่อไปจะเป็นภาพบรรยากาศทั้งหมดนะคะ บางกิจกรรมอาจจะไม่ได้ถ่ายมา เพราะกำลังวุ่นๆ(กับสัตว์ตัวน้อยตัวใหญ่) แต่รวมๆคือคุ้มกับ290บาทมากค่ะ

อัลปาก้ายืนฉี่ (*^^) 


 ป้อนอาหารน้องกันค่ะ 


 ที่นี่จะปล่อยกระต่ายให้อยู่ทั่วเลยค่ะ วิ่งไปวิ่งมาในหลายโซน 






 แฮมสเตอร์ที่นี่อ้วนมากๆ 


 สามารถถ่ายคู้่กับน้องนกได้ค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำอยู่


 หนูแกสบี้ตัวใหญ่มากกกก


 (ขออาหารหน่อยจิ)





 สัตว์โซนนี้สัมผัสได้ค่ะ เจ้าเม่นแคระ (เจ็บมือนิดหน่อย)






  แพรี่ด๊อก ตัวสีอ่อนเป็นจ่าฝูงค่ะ ดุมากๆ 








ชูก้าไรเดอร์หรือกระรอกบิน (ซนมากๆ)


 ตัวเฟอเรท

ตัววัลลาบี คล้ายจิงโจ้ค่ะ แต่ตัวเล็กกว่า มีกระเป๋าหน้าท้องเช่นกัน 



  ตัวนี้พึ่งเคยเห็นเลยค่ะ ชื่อMara เดินเหมือนกวางแต่หน้าตาเหมือนจิงโจ้ ขนาดเท่าสุนัข น่ารักมากค่ะ


 คาปิบาร่าแม่ลูกอ่อนและลูกน้อย ออกมากินต้นไผ่กันค่ะ



 จิงโจ้แคระค่ะ มีเผือกด้วย เป็นจ่าฝูงด้วยค่ะ (ลูกน้อยในกระเป๋าก็เผือกด้วยน้า)




 ให้อาหารห่านกันค่ะ (ตะกละมากๆ ^ ^*) 
บริเวณนี้เป็นบริเวณบ้านฮอบบิทค่ะ สามารถแต่งคอสเพลเพื่อมาถ่ายรูปได้



 ชินชิล่า ขนนุ่มมากๆ


ต่อไปจะเป็นสิ่งที่ชอบมากที่สุดในอัลปาก้าฮีลค่ะ นั้นก็คืออออ คาเฟ่แมวนั้นเอง (*≧▽≦)//

รูปห้องคาเฟ่แมวค่ะ เปิดแอร์ตลอดให้นั่งเล่นกับน้องได้ทั้งวัน > <

แมวที่นี่จะเป็นพันธุ์แชมป์ทั้งสิ้นค่ะ CFAล้วนๆ 
จึงจะเห็นได้ว่าน้องดูดี ขนฟูนุ่มทุกตัว และที่สำคัญเชื่องมากๆเลยค่ะ เข้ามาอ้อนตลอด




ขี้เล่นมากๆ 




 อ้อนใหญ่เลยยยยย O(≧∇≦)O



มาถึงโซนสุดท้าย คือให้อาหารแกะค่ะ ให้ได้ไม่อั้น พอเราเดินไปถือหญ้า น้องแกะก็วิ่งมาหาแล้วค่ะ



บรรยากาศดีมากๆค่ะ 




สรุปกิจกรรมและสิ่งที่ได้รับดังนี้ค่ะ
  •                     บัตร VIP เข้าชมสัตว์อย่างใกล้ชิด พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีส้ม)
  •                     อาหาร 1 ชุด (สำหรับอัลปาก้า)
  •                     ถุงผ้าลายอัลปาก้าสีส้ม 1 ใบ
  •                     แผนที่ขุมทรัพย์ INCA 1 ใบ
  •                     รูปภาพ Photo Print 1 ปริ้น (มี 2 ใบ)
  •                     กิจกรรมบ้านแฮรี่ฮัท(ไม่รวมชุด Cosplay)
  •                     กิจกรรมบ้านฮ็อบบิท(ไม่รวมชุด Cosplay)
  •              กิจกรรมเก็บเห็ด
  •                     กิจกรรมเขาวงกต
  •                     กิจกรรมป้อนหญ้าแกะ (ไม่จำกัด)
  •                    กิจกรรมจุดชมวิว